ลูกชายของหมาป่า : เขี้ยวแหลม
เรื่อง : ลีชาซอน
ภาพ : ปาร์คฮยองอุค
*
หัวใจของเด็กชายเต้นตึกตักเพียงเพราะเรื่องราวที่ได้ยินมาจากเหล่าทหาร
‘พ่อ... ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเหรอ?’
แต่ทว่าเด็กชายกลับกังวลไปอยู่พักหนึ่งเพราะคำพูดของพ่อที่บอกว่ากำลังรอเพื่อที่จะพบตนเองอยู่
ถึงแม้เขาจะเรียกว่าพ่อ แต่อีกฝ่ายก็เป็นมนุษย์ที่เป็นผู้บุกรุก ส่วนตัวเขาเองนั้นก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นทายาทของหมาป่า
แล้วการเดินทางไปที่นั่นมันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่านะ
***
“แง้~”
เด็กน้อยเดินกลับเข้ามาพร้อมกับสูดน้ำมูกไปด้วย หูสีเทาผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยจึงอุ้มลูกขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางกล่อมลูกน้อยไปพลางลูบหลังไปพลางแล้วก็เกิดนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาในหัว
‘หล่อนนั้นเป็นผู้คลอดลูกน้อยออกมาด้วยร่างกายของหญิงสาวที่ยังเป็นโสด’
ทันทีที่หญิงสาวเกิดตั้งท้องขึ้นมาโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้นก็เกิดข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็พากันจับผิดและตำหนิว่านางนั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสม แม้แต่ในตอนที่นางคลอดลูกน้อยและหลังจากที่เด็กน้อยเกิดมาได้ไม่นาน จนสุดท้ายหญิงสาวเองก็ยังคงไม่พูดว่าพ่อของลูกตนนั้นเป็นใคร ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจึงมักจะมาตำหนินางต่อหน้าและลูกน้อยนั้นก็จะถูกเด็กๆ รุ่นเดียวกันไม่ให้เข้ากลุ่มหรือเล่นด้วย
และสุดท้ายแล้วนางก็ถูกตัดสินว่าไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่อไปได้อีก นางจึงต้องออกมาใช้ชีวิตที่นอกเขตของหมู่บ้านเพียงลำพัง แต่การใช้ชีวิตเช่นนั้นของนางก็ไม่ได้เรื่องอะไรเป็นพิเศษมากนัก จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เกิดการทะเลาะกันขึ้นระหว่างฟาร์มหมูและกลุ่มศัตรา ซึ่งในขณะนั้นบางครั้งก็จะเกิดบางหมางใจกันจึงทำให้มีพวกนักล่าเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก นางที่แยกตัวออกมาอาศัยอยู่เพียงลำพังจึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากพวกเดียวกันได้เลยทำให้ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจากหลายๆ ด้าน
หูสีเทาก็รู้ถึงความจริงนี้ดี แต่นางก็ไม่มีทางเลือก นางรู้ดีว่าหากลูกน้อยของนางยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้นต่อไปก็คงจะมีแต่เจ็บตัว นางจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกทางนี้อย่างช่วยไม่ได้ แต่ทว่าการตัดสินใจเช่นนี้ของเธอนั้น ถึงแม้จะทำให้ต้องอับอาย แต่ทุกครั้งที่กลับไปที่หมู่บ้านนั้น ลูกน้อยของเธอก็มักจะได้แต่วิ่งไล่ตามหลังเด็กๆ รุ่นเดียวกันแล้วก็ร้องไห้โฮกลับมาเช่นนี้อยู่เสมอ
หูสีเทาสะบัดหัวเหมือนกับพยายามที่จะสลัดความคิดนั้นออกไป เด็กน้อยหยุดร้องไห้ไปเองโดยไม่รู้ตัวและหลับไปในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่
นางจึงพาลูกที่กำลังหลับอยู่ไปวางไว้บนเตียงนอนและลูบหัวเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็เกิดนึกถึงพ่อของเด็กน้อยขึ้นมา ผู้ที่มีสีผมสีเดียวกันกับเด็กน้อย....
ในตอนที่เด็กน้อยเกิดมานั้น นางได้ส่งจดหมายไปบอกให้เขารู้ว่าได้มีเด็กน้อยที่เป็นมนุษย์และมีเชื้อสายของกลุ่มศัตราถือกำเนิดขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจดหมายฉบับนั้นจะถึงมือของเขา แต่พอเวลาผ่านไปกลับไม่มีการติดต่อใดๆกลับมาจากเขาผู้นั้นเลยซักนิด
แม้ว่าจะน่าน้อยใจแต่นางก็ไม่ได้เคืองแค้นอะไรเขานัก
มนุษย์กับกลุ่มศัตรานั้นมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดและสุดท้ายแล้วก็จะไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้
นางจึงคิดเสียว่าเด็กน้อยนั้นไม่ได้มีพ่อ... มาตั้งแต่แรกแล้ว
*
แต่ดูเหมือนว่าลูกน้อยของเธอจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
เด็กน้อยนั้นกังวลอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นเป็นใคร เด็กน้อยที่สงสัยว่าตนเองนั้นมีสายเลือดของผู้ใดนั้นเอาแต่ถามแม่เกี่ยวกับพ่อของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งที่ถามเช่นนั้นแม่ก็จะตอบเพียงแค่ว่า ‘ลูกน่ะไม่มีพ่อหรอก’ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
เพราะเด็กน้อยนั้นไม่รู้ว่าพ่อของตนนั้นเป็นใครเลยอยากที่จะเป็นนักรบของกลุ่มศัตรา เด็กน้อยผู้ไม่รู้สายเลือดของตนเองจึงอยากเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มศัตราและอยากที่จะเป็นพวกเดียวกันกับเขา
ในตอนนั้นหากมีการจัดงานฉลองการเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เด็กน้อยจึงคิดว่ายังไงเขาก็จะต้องได้รับสมญานามของนักรบกลุ่มศัตราอย่างแน่นอน
ตั้งแต่วันนั้นเด็กน้อยจึงฝึกดึงสายธนูทุกๆ วัน ไม่มีวันไหนที่มือของเด็กน้อยนั้นจะไม่มีเลือดไหลออกมาจากมือที่แตกเป็นแผลจากฝึกฝนอย่างหนัก และก็มักจะถูกสายธนูดีดใส่ที่ใบหน้า ทุกครั้งที่โดนเช่นนั้นที่หน้าก็จะมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา แต่เด็กน้อยก็ทำเพียงแค่ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดแล้วจับสายธนูต่ออีกครั้ง
*
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมกลุ่มศัตราให้ได้ หรือเป็นเพราะความโกรธแค้นพวกเขาเหล่านั้นที่ทำให้ตนเองถูกแบ่งแยก ความสามารถของเด็กน้อยจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว และในที่สุดเด็กน้อยก็ได้เติบโตจนกลายเป็นเด็กหนุ่มที่สามารถเข้าร่วมพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะดูถูกเขาได้อีกต่อไป
แต่ตลอดช่วงระยะเวลาที่เด็กน้อยได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นเด็กหนุ่มนั้น ใบหน้าของหูสีเทาที่คอยเฝ้ามองเด็กน้อยอยู่ตลอดก็มักจะดูเศร้าสร้อยอยู่เสมอ
ทั้งในตอนที่เด็กหนุ่มเข้าร่วมพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่และบอกว่าจะเข้าร่วมเป็นนักรบของกลุ่มศัตรา และตอนที่บอกว่าจะฆ่าพวกชาวไร่ฟาร์มหมูให้หมด ใบหน้าของนางก็ยิ่งดูเศร้าขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เด็กหนุ่มนั้นกลับคิดแค่ว่าผู้เป็นแม่นั้นเป็นห่วงตนเองเลยมีใบหน้าที่ดูเศร้าเช่นนั้น จนกระทั่งถึงวันที่มีทหารมาตามหาตัวเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มก็ยังคงไม่รู้เหตุผลนั้นว่าทำไมแม่ถึงได้ใบหน้าที่ดูเศร้า
*
“ข้าจะเข้าร่วมพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้อย่างนั้นรึ!”
เด็กหนุ่มตะโกนร้องถามออกมา
“เจ้าไม่ใช่คนของกลุ่มศัตรา ฉะนั้นเจ้าก็เข้าร่วมพิธีนี้ไม่ได้หรอก”
หัวหน้าเผ่าพูดกดดันเด็กหนุ่มขึ้นมาอย่างหนักแน่น
‘ไม่ใช่คนของกลุ่มศัตราอะไรกัน....’
หากไม่สามารถเข้าร่วมพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ได้ก็จะถือว่าไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มศัตรา และก็จะไม่ได้รับสมญานามในฐานะนักรบด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่ากลุ่มศัตรานั้นก็จะไม่ยอมรับเด็กหนุ่มเข้ากลุ่มไปตลอด
ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเข้าใจถึงคำพูดเช่นนั้นของหัวหน้าเผ่าแล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงบอกว่าตนไม่ใช่คนของกลุ่มศัตรา เขาคิดว่าหัวหน้าเผ่านั้นผลักไสเขาเช่นนี้เพียงเพราะรู้สึกว่าเขานั้นถูกทรยศ
“หากท่านไม่คิดจะทดสอบความสามารถของข้าล่ะก็ ข้าก็จะพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นเอง!”
เด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นแล้วก็หยิบคันธนูของตนขึ้นมาถือไว้แล้วก็วิ่งออกไปที่ด้านนอก
พวกกลุ่มศัตราที่มารวมตัวกันเพราะเกิดมีเรื่องกะทันหันขึ้นนั้นไม่มีใครคว้าตัวเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน หัวหน้าเผ่าจึงได้แต่มองไปตามทางที่เด็กหนุ่มวิ่งหายออกไปอย่างอดกลั้น
*
ตึกตักตึกตัก
หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวเร็วราวกับจะเป็นบ้า
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเคยลองล่าพวกสัตว์ป่ามาแล้วหลายครั้ง แต่จริงๆแล้วกับการยิงธนูโดยมีเป้าเป็นคนและเป็นถึงกัปตันหน่วยคุ้มกันนั้นเขาก็เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก
ที่หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลซึมออกมาและนิ้วมือก็สั่นไปหมด
‘กลุ่มศัตราน่ะไม่กลัวความตายหรอก!’
เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่กับคำพูดของพวกทหารของกลุ่มศัตราราวกับกำลังสวดมนต์อยู่ภายในแล้วจึงรวบรวมสมาธิทั้งหมดไปที่หัวลูกศร และในตอนที่ลูกธนูพุ่งออกมาจากคันธนูในมือของเด็กหนุ่มนั้น เขาก็ได้เข้าใจถึงการฆ่าคนเป็นครั้งแรก
“วู้ววว~!!”
ทันทีที่ได้ยินข่าวที่บอกว่ากัปตันหน่วยคุ้มครองบาดเจ็บจากกลุ่มศัตรา เสียงร้องของหมาป่าก็ได้เริ่มดังออกมา เด็กหนุ่มที่ถูกล้อมไปด้วยเหล่านักรบของกลุ่มศัตรานั้นกรีดร้องออกมาด้วยเสียงของหมาป่าแล้วจึงเดินเข้าไปหาหัวหน้าเผ่า
เด็กหนุ่มที่ยืนประจันหน้ากับหัวหน้าเผ่าถือธนูของตนเองไว้แล้ววางลงที่ด้านหน้าราวกับจะอุทิศชีวิตทั้งหมดที่มีให้กับหัวหน้าเผ่า
“ข้าจะจัดการหัวหน้าของศัตรูให้สำเร็จแล้วถึงจะกลับมาที่นี่ขอรับ!”
หัวหน้าเผ่าลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา ทุกคนต่างก็พากันจ้องมองไปที่ท่าทางเช่นนั้นของหัวหน้าเผ่า ขณะนั้นทุกสิ่งในสนามต่างก็พากันนิ่งสงบราวกับหยุดหายใจ
หัวหน้าเผ่าพูดขึ้นพร้อมกับหยิบธนูขึ้นมาถือไว้อย่างเงียบๆ
“ผู้แข็งแกร่งเตรียมตัวไว้ให้พร้อม และนี่ก็คือตัวอย่างของกลุ่มศัตรา”
แล้วหัวหน้าเผ่าก็ยกคันธนูขึ้นสูง
“ตั้งแต่นี้ไปให้เรียกเด็กนี่ว่าเขี้ยวหมาป่า นักรบแห่งกลุ่มศัตรา!”
“เย้!!!”
เสียงร้องของเหล่าคนที่รวมตัวกันอยู่ที่สนามดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องตะโกนของหัวหน้าเผ่า แล้วเสียงร้องของหมาป่าแห่งกลุ่มศัตราก็ดังปกคลุมไปทั่วทั้งป่า
และในตอนนั้นหน่วยจู่โจมของกลุ่มศัตราที่รีบวิ่งเข้ามาอย่างลนลานก็ร้องขึ้นมาว่า
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ เสือเขี้ยวดาบแห่งเนินเขามัน...!”
*
เรื่องที่เหล่าสัตว์ป่าบุกเข้ามาโจมตีหมู่บ้านของกลุ่มศัตรานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ทว่าทุกๆ ที่ที่มีเหล่ากลุ่มศัตรามาอาศัยอยู่รวมกันนั้นจะมีเหล่านักรบของกลุ่มศัตรารวมตัวกันอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านและมีคนคอยยืนเฝ้ายามอาณาเขตอยู่ตลอด จึงไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร
แต่ผิดกับที่บ้านของเด็กหนุ่ม
บ้านของเด็กหนุ่มนั้นแยกตัวออกมาอาศัยอยู่นอกหมู่บ้านและยังเป็นบ้านที่มีผู้หญิงเลี้ยงดูมาโดยลำพัง จึงอาจโดนสัตว์ป่าเข้ามาทำร้ายได้ง่าย เสือเขี้ยวดาบแห่งเนินเขาเองก็เป็นนักล่าที่มาเดินเตร่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้าน แต่กลับเป็นเรื่องแปลกที่ยังไม่เคยโดนเสือเข้ามาทำร้ายเลยจนถึงตอนนี้
ในตอนที่เด็กหนุ่มวิ่งหนีออกมานั้น เจ้าเสือก็ได้เข้าไปโจมตีถึงข้างในบ้านจนเละเทะไปหมด เสือที่โจมตีแม่ของเขาอยู่ในตอนแรกนั้นสุดท้ายก็ถูกกลุ่มทหารของกลุ่มศัตราไล่ออกไปได้ แต่เจ้าเสือกลับแลบลิ้นเลียปากราวกับจะแสดงออกว่าการที่ปล่อยให้เหยื่อที่ไม่คิดจะหนีนั้นหลุดไปได้เป็นสิ่งที่โง่เขลา
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วหูสีเทาก็กลับถูกเจ้าเสือกัดเข้า โชคดีที่ถูกกลุ่มศัตรามาพบเข้าเสียก่อนจึงสามารถหนีมันไปได้เพราะเข้าไปหลบภายในถ้ำ แต่ก็เพราะได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการถูกกัดจึงทำให้มีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
“แม่!”
หูสีเทาพยายามจะรักษาลมหายใจของตนไว้อย่างยากลำบากแต่พอได้ยินเสียงของลูกชาย ผู้เป็นแม่จึงพยายามเค้นแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะหยิบโซลชิลด์นั้นมามอบให้กับลูก
“จะ เจ้าจงรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีๆล่ะ... เพราะว่ามันเป็นของเจ้า และมันก็คือโซลชิลด์ของพ่อเจ้าด้วย....”
โซลชิลด์ของพ่องั้นเหรอ
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่แม่ของเด็กหนุ่มได้พูดถึงผู้เป็นพ่อ และหลังจากที่พูดคำนั้นจบลง นางก็ได้สิ้นลมหายใจไปในที่สุด
“แม่! แม่!!!”
*
หลังจากวันนั้น เขี้ยวแหลมที่วางแผนจะไปอาศัยอยู่เพียงลำพังในที่ที่ไม่มีใครหาเขาพบได้ เขานำหนังของเสือเขี้ยวดาบแห่งเนินเขาที่เป็นผู้ฆ่าแม่ของตนมาวางไว้ที่พื้นแล้วก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ เด็กหนุ่มจะนอนลงบนหนังของเสือนั่น และกินอาหารง่ายๆ อย่างสัตว์ป่าที่ล่ามาได้และพืชผลที่เก็บมาจากบนเขา
หากในตอนไหนที่คิดถึงผู้เป็นแม่ขึ้นมาเขาก็จะถือคันธนูออกไปที่ด้านนอก ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้นกัปตันหน่วยคุ้มครองและเหล่าสมาชิกจึงค่อยๆตายไปทีละคนสงคน
ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงกัปตันหน่วยคุ้มครอง แต่กลับถูกฆ่าไปแล้วถึงห้าคน
สุดท้ายแล้วชื่อเขี้ยวแหลมก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความน่าสะพรึงกลัวในฟาร์มหมูไปโดยไม่รู้ตัว มีเหล่าคนมาขอดวลและต่อสู้แล้วแพ้กลับไปเป็นจำนวนมาก จากนั้นผู้คนก็เริ่มที่จะพากันหลีกเลี่ยงเขา
จนกระทั่งมีนักรบคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น
เด็กหนุ่มนั้นคิดว่ายังไงเสียก็คงจะไม่มีผู้ใดที่จะมาต้านทานเขาได้เป็นแน่
***
‘มันหายไป! โซลชิลด์มันหายไปแล้ว!’
เด็กหนุ่มคลำไปที่กระเป๋าเสื้อเพื่อค้นหาโซลชิลด์ราวกับคนเป็นบ้า แต่ทว่าโซลชิลด์ที่เขาได้รับมาจากแม่นั้นมันกลับหายไปเสียแล้ว
‘ข้าทำหล่นไปตอนที่เจอกับนักรบคนนั้นเมื่อตะกี้หรือเปล่านะ?’
การมีโซลชิลด์นั้นสำหรับเขาแล้วมันถือเป็นตัวแทนของแม่อย่างหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะได้รับการยอมรับและเป็นหนึ่งในนักรบของกลุ่มศัตรา แต่ทว่าเหล่าเพื่อนนักรบด้วยกันนั้นก็ยังคงไม่ยอมรับให้เขาเข้าพวกด้วยเช่นเดิม แม่ผู้ที่เคยเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขาตอนนี้ก็กลับไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ทุกครั้งที่เกิดเหงาขึ้นมาหรือคิดถึงผู้เป็นแม่จนทนไม่ไหว เด็กหนุ่มก็จะหยิบโซลชิลด์ที่เป็นของของแม่ขึ้นมาดูเพื่อเป็นการคลายความเหงาอยู่บ่อยๆ
แต่ทว่าโซลชิลด์อันนั้นมันกลับหายไปเสียแล้ว..
“ใครกันน่ะ!”
เด็กหนุ่มส่งเสียงแปลกๆที่ไม่คุ้นเคยออกมาพร้อมกับหยิบคันธนูขึ้นมาถือไว้ และที่ด้านหน้านั้นก็มีนักรบผู้นั้นยืนอยู่
‘แม่งเอ๊ย นี่สะกดรอยตามข้ามาจนถึงนี่เลยงั้นเรอะ?’
ความสามารถของนักรบผู้นั้นเป็นที่รู้กันดี ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกว่ากันว่าเป็นกลุ่มศัตราผู้กล้าหาญอย่างไร แต่ก็แน่นอนว่าความสามารถนั้นก็ย่อมมีความแตกต่าง จึงทำให้โอกาสที่จะชนะมีความเป็นไปได้น้อย แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถที่จะยอมแพ้ได้
“นักรบของกลุ่มศัตราอย่างข้าน่ะไม่เกรงกลัวความตายหรอก!”
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นพร้อมกับตะโกนออกมา
แต่ทว่าคำพูดที่นักรบผู้นั้นได้เปล่งออกมากลับไม่สามารถคาดเดาความหมายใดๆได้เลย
*
‘พ่อยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นรึ?’
พ่อเป็นคนทิ้งแม่แล้วก็ทิ้งข้าไป คนแบบนี้นี่มัน...
แต่ว่ามันไม่ได้เกิดจากความจริงใจของพ่อหรอกที่ให้ทหารนำโซลชิลด์มาให้น่ะ... เขาเพียงแค่บอกว่าอยากจะให้มนุษย์กับกลุ่มศัตรา... สามัคคีกันได้
หากว่าเป็นเช่นนั้น
หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเองที่มีสายเลือดของมนุษย์และหมาป่าก็คงจะไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไปก็ได้ใช่มั้ยนะ....
เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปพักหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามคำถามกับทหารผู้นั้น
“ขะ... เขา... พ่อของข้า... เขาจะกอดข้ามั้ย?
ข้าน่ะมีทั้งสายเลือดของหมาป่าและผู้บุกรุกอยู่...”
*
หลังจากที่ทหารผู้นั้นกลับไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงนั่งจ้องโซลชิลด์ทั้งสองอันอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลุกจากที่ไป เขาตัดสินใจแล้วล่ะ
เด็กหนุ่มที่เตรียมจะออกเดินทางเพื่อไปที่โรงเตี๊ยมเนินเขาจึงยื่นมือออกไปเพื่อจะยกคันธนูขึ้นอย่างเคยชิน แต่ทว่ามือที่หยิบคันธนูขึ้นมาถือไว้นั้นกลับหยุดนิ่งค้างไว้เช่นเดิม
เด็กหนุ่มราวกับตกอยู่ในความกังวลอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงทิ้งคันธนูไว้ภายในบ้าน
‘นี่เป็นทางที่ข้าจะได้ไปพบกับพ่อ ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพกอาวุธไปด้วยหรอก’
ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมเนินเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น พอมีลมพัดผ่านมา เส้นผมสีแดงของเด็กหนุ่มจึงถูกลมพัดจนปลิวไสว
- fin -
*เรื่องราวในตอนท้ายของเรื่องนั้นจะเชื่อมต่อมาจากเรื่อง ‘หมาป่าในคราบแกะ’ ที่เป็นเควสท์ย่อยภายในเกม